วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

การศึกษา 21st century





ศิษย์ในศตวรรษที่
21
     ศิษย์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ครูจำเป็นต้องรู้จักศิษย์ในศตวรรษที่ 21 เพื่อหาวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศิษย์ ที่เป็นเด็กสมัยใหม่ซึ่งมีทักษะที่หลากหลายโดยแบ่งปัจจัยด้านการเรียนรู้มี 5 ประการคือ
1.Authentic learning
2.Mental model building
3.Internal motivation

4.Multiple intelligence
5.Social learning
     ดังนั้นการสอนแบบ ครูเพื่อศิษย์ ต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง

ทักษะการดำรงชีวิต 21st Century Skills
     ครูต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะ เพื่อจุดประกายความสนใจใฝ่รู้ (inspire) อำนวยความสะดวก ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง (learning by doing) ทำให้เกิดการเรียนจากภายในและสมอง ที่เรียกว่า PBL (Project-Based Learning)

ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก
สาระวิชาหลัก เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
หัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 เช่น ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การเงิน
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม เช่น ความริเริ่มสร้างสรรค์
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
ทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (responsibility)

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ คือ 3R x 7C
3R ได้แก่ Reading , (W)Riting และ (A)Rithmetics
7
C ได้แก่
Critical thinking & problem solving
Creativity & innovation
Cross-cultural understanding
Collaboration, teamwork & leadership
Communications, information & media literacy
Computing & ICT literacy
Career & learning skills
   
     นอกจากนี้ครูเพื่อศิษย์จะต้องหาทางออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้พัฒนาสมอง ๕ ด้าน ได้แก่
1.สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)
2.สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
3.สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind)
   ศัตรูสำคัญที่สุดของความคิดสร้างสรรค์ คือ การเรียนแบบท่องจำ
4.สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind)
5.สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)

แนวคิดการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
      Teach Less, Learn More คือ ครูสอนน้อยลง แต่ออกการเรียนรู้ให้เด็กเรียนจากกิจกรรม (PBL-Project-Based Learning)

      เครื่องมือสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ และการสอนในศตวรรษที่ ๒๑ คือ คำถามกับปัญหา ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกตั้งคำถามแบบ Why?  Or How? ไม่ตั้งความหวังสูงว่าเด็กต้องได้คำตอบที่ถูก วิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งของทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills) ที่ทำให้เกิดความสนุกนานตื่นเต้น กระตุ้นจินตนาการ และสร้างบรรยากาศในห้องเรียนไม่ให้น่าเบื่อ

การเรียนรู้อย่างมีพลัง มีหลักสำคัญคือนักเรียนกับครูต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน
     จักรยานแห่งการเรียนรู้  มีหลักสำคัญคือนักเรียนกับครูต้องเรียนรู้ไปด้วยกันมีวงล้อ 2วง ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ
Define คือ ขั้นตอนการทำโครงงาน
ทำให้เกิดคำถาม ประเด็น ปัญหา
Plan คือ การวางแผนการทำโครงงาน นักเรียนต้องคิดแก้ปัญหาโดยที่ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือ แต่อาจชี้เเนะประเด็นสำคัญที่นักเรียนมองข้าม 
Do คือ การลงมือทำโดยใช้ทักษะต่างๆ มาแก้ปัญหา ครูเพื่อศิษย์จะคอยสังเกตศิษย์เป็นรายคน
Review คือ ทบทวนการเรียนรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลกัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้แบบ reflection
    นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมี Presentation ที่เป็นขั้นต่อเนื่องจาก Review โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเป็นเพาเวอร์พอยท์ (Powerpoint) 

การเรียนรู้อย่างมีพลัง (2)
     การเรียนรู้แบบ PBL (Project-Based Learning)  ทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจ (motivation) ในการเรียน และจดจ่ออยู่กับการเรียน

จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
     การเรียนรู้ที่แท้จริง หมายถึง ผู้เรียนซึมซับเข้าไปไว้ในความจำ มีทักษะสำคัญ คือ การคิดอย่างมีวิจารณญา ซึ่งเกิดจากความรู้ (background knowledge)  จากความจำระยะยาว นำมาใช้โดยไม่ต้องผ่านการคิด นั่นคือ ความจำกับทักษะและปัญญากลายเป็นสิ่งเดียวกันที่สำคัญครูควรให้เด็กเรียนรู้โดยการค้นคว้า (discovery learning) ร่วมกับการทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หลังบทเรียน
สอนให้เหมาะต่อความแตกต่างของศิษย์
     ครูผู้สอนต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ว่าผู้เรียนนั้นมีความสามารถไม่เท่ากัน ครูจำเป็นต้องเลือกกิจกรรมและเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียน  การจัดการเรียนการสอนในเรื่องนี้ เป็นโอกาสที่ครูเพื่อศิษย์จะฝึกฝนทักษะด้านการวิจัยปฏิบัติการของตน และเพื่อประยุกต์ใช้ในการทำงาน

ฝึกฝนตนเอง                                                                               
      ครูต้องฝึกฝนตนเองด้วยการเรียนรู้ ทดลองใช้ทฤษฎีใหม่ๆ และวิธีการที่ใช้ในการทำหน้าที่ ครูฝึก ให้ศิษย์ได้ฝึกทักษะนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของทักษะชีวิตของพวกเขาด้วย
และต้องได้รับผลสะท้อนกลับมา (
feedback) ให้เห็นจากศิษย์และเพื่อนครูด้วยกัน  ที่จะช่วยปรับปรุงการสอนซึ่งกันและกัน ละย่อมมีประโยชน์ต่อทั้งชีวิตการเป็นครู และต่อการเรียนรู้ของนักเรียน

บันเทิงชีวิตครูสู่ชุมชนการเรียนรู้
     PLC (Professional  Learning Community) คือ เครื่องมือสำหรับให้ครูรวมตัวกันเป็นชุมชน(community)  เช่น การนำประสบการณ์การจัดการเรียนรู้แบบ PBL (Project-Based Learning) มาแลกเปลี่ยนกัน เกิดการสร้างความรู้ และยกระดับความรู้จากประสบการณ์ตรง  นำมาจัดการเรียนเสริมแก่ศิษย์ที่เรียนไม่ทันเพื่อให้กลับมาเรียนทันโดยมีเป้าหมายหลักที่ผลการเรียนรู้ของนักเรียน แต่ที่จริงแล้วยังมีผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงโรงเรียน (school transformation) อีกด้วย นั่นคือ วิธีทำงานเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนไป เปลี่ยนระดับจิตวิญญาณและวัฒนธรรมองค์กร
     โดยสรุป PLC จะเปลี่ยนแปลงนักเรียน ครู ผู้บริหาร และโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ที่ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข (Happy Workplace)

เรื่องเล่าตามบริบท
เตรียมทำการบ้านเพื่อการเป็นครู
     ครูเพื่อศิษย์ต้องหาวิธีทำให้ศิษย์เชื่อว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ สร้างแรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่นในการเรียน และชีวิตในอนาคต
     บุคลิกภาพในการสร้างความสัมพันธ์กับเด็กต้องมีความเป็นธรรมชาติ พูดจาไพเราะ แต่งกายให้เรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ เพื่อสร้างบรรยากาศในห้องเรียน 
ให้ได้ความไว้วางใจจากให้ศิษย์
     การกำหนดบุคลิกของครูไว้ให้ชัดเจน ในการใช้บุคลิกนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อการ
สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ไว้เนื้อเชื่อใจกันกับเด็ก จากประสบการณ์ส่วนตัวของครูเลาแอนน์ คือ การแต่งกายของครูบอกบุคลิก  อารมณ์ เมื่อครูแต่งสูท นักเรียนจะรู้สึกถึงบรรยากาศที่เป็นทางการ หากครูสวมเสื้อยืด  เด็กจะรู้สึกว่าเป็นวันผ่อนคลาย
สอนศิษย์กับสอนหลักสูตรแตกต่างกัน
     “การสอนตามหลักสูตรไม่ใช่การสอนที่แท้จริง” (covering curriculum is not teaching)เลือกสาระส่วนที่คิดว่าสำคัญที่สุด และสอนให้เด็กเข้าใจ อย่าพยายามสอนทุกเรื่อง ให้เลือกเฉพาะส่วนที่เป็นหลักการและทักษะที่สำคัญที่สุด และสอนให้นักเรียนรู้วิธีเรียน
ถ้อยคำที่ก้องอยู่ในหูเด็ก
     อย่าคิดว่าคำพูดที่ครูพูดแบบไม่ตั้งใจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับเด็ก คำพูดเชิงบวก
ต่อเด็กมีผลต่อการสร้างพลังในชีวิตของเด็ก และในทางตรงกันข้าม คำพูดเชิงลบสามารถทำลายชีวิตเด็กได้มากเช่นกัน
เตรียมตัว เตรียมตัว และเตรียมตัว
     
ครูต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าพื่อให้พร้อมที่สุดกับการจัดการชั้นเรียนเพื่อให้นักเรียนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมที่จะเรียน
จัดเอกสารและเตรียมตนเอง
     การเตรียมตัวจัดระบบเอกสารช่วยให้ครูมีระบบ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำสัปดาห์แรกให้เป็นสัปดาห์แห่งความประทับใจ
     เริ่มวันแรกด้วยรอยยิ้มให้เป็นสัปดาห์แห่งความประทับใจของนักเรียน การสร้างความประทับใจอีกอย่างหนึ่ง คือ การสอบตนเองในการจำชื่อศิษย์เป็นรายคน เมื่อจบชั้นเรียน ครูอาจลืมบางชื่อไปแล้ว แต่ในวันรุ่งขึ้นเมื่อครูจำชื่อผิด หรือลืม เด็กจะไม่ถือสา กลับเป็นที่เฮฮา และเด็กก็ได้เรียนรู้ว่าการทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องปกติในชีวิตจริง    
เตรียมพร้อมรับ การทดสอบครู และสร้างความพึงใจแก่ศิษย์
     ครูจึงต้องเตรียมพร้อมเผชิญพฤติกรรมแปลก ๆ ซึ่งบางกรณีเป็นการท้าทายความ สามารถของครู สิ่งสำคัญคือ ครูต้องไม่ทะเลาะกับเด็ก ไม่โต้แย้งกับเด็กต่อหน้าเพื่อน ๆ อย่ารังเกียจตัวเด็ก ให้รังเกียจตัวพฤติกรรม และหาทางช่วยเหลือเด็กให้หลุดพ้นจากพฤติกรรมนั้น นี่คือหลักของ ครูเพื่อศิษย์
วินัยไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ
     วินัยมี 2 ด้าน คือ วินัยเชิงลบจะสร้างความรู้สึกต่อต้านในใจเด็ก ทำให้เด็กเบื่อเรียนและเสียคน และวินัยเชิงบวกจะช่วยลดความกลัวหรือวิตกกังวลช่วยให้เด็กเรียนรู้ฝึกฝนตนเองได้เต็มที่
สร้างนิสัยรักเรียน
     เป็นหน้าที่ของ ครูเพื่อศิษย์คือ สร้างนิสัยรักเรียน ซึ่งสำคัญกว่าการรู้เนื้อหาวิชา
การอ่าน
     การอ่านเป็นพื้นฐานทักษะในด้านต่างๆ โดยการสร้างนิสัยรักการอ่าน ไม่บังคับแต่ทำให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก
ศิราณีตอบปัญหาครูและนักเรียน
     ปัญหาของครูมีสารพัดด้าน ทั้งปัญหาจากตนเอง จากนักเรียน จากระบบบริหารโรงเรียน จากเพื่อนครู จากพ่อแม่ผู้ปกครอง ทั้งหมดนั้นคือ ประเด็นเรียนรู้ของครู เป็นชีวิตจริงที่ครูจะต้องเผชิญและทำให้ประสบการณ์เหล่านั้นเป็นผลเชิงบวกต่อชีวิตของตนเอง 
ประหยัดเวลาและพลังงาน
     แผนการสอนต้องมีความยืดหยุ่น และประหยัดเวลาจะช่วยให้ครูทำงานอย่างมีระบบ
มอบโจทย์ให้นักเรียนฝึกทำ (Independent Assignment) ครูต้องฝึกฝนเรียนรู้วิธีกำหนดโจทย์ให้เหมาะแก่นักเรียน ไม่ง่ายเกินไปและไม่ยากเกินไป
ยี่สิบปีจากนี้ไป
     “ครูอาจจำนักเรียนไม่ได้ แต่นักเรียนจะจำครูได้ การเป็นครูเพื่อศิษย์ให้คุณค่าและการตอบแทนต่อชีวิตมากกว่าสิ่งตอบแทนที่เป็นวัตถุหลายเท่า
กระบวนการสร้างครูที่เพลินกับการพัฒนา PBL + PLC ฉบับญี่ปุ่น
     เป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ในแนวทางที่เรียกว่า lesson study + open approach ใช้มากว่า 1๐๐ ปี

มองอนาคตปฏิรูปการศึกษาไทย
     การเปลี่ยนเป้าหมายของการเรียนรู้  จากเน้นเพียงให้รู้วิชา เป็นรู้วิชาและมีการพัฒนาทักษะที่ซับซ้อนขึ้น ที่เรียกว่า ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ควบคู่กันไป


สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
1. ยกเลิกระบบการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งของครู (คศ.) มาเป็นเลื่อนตำแหน่งโดยใช้ผลสัมฤทธิ์ของลูกศิษย์ตามการทดสอบระดับชาติ
2.เน้นการมี PLC (Professional  Learning Community)  ระดับโรงเรียน ระดับเขตการศึกษา และระดับประเทศ
3.ปราบปรามคอรัปชั่นเรียกเงินในการบรรจุหรือโยกย้ายครู โดยต้องออกกฎหมายให้ลงโทษรุนแรงขึ้น
4.เน้นที่การเรียนรู้เป็นกลุ่ม(learning) ของครู ไม่ใช่เน้นที่การฝึกอบรม (training)
5.แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยเชิญครูที่มีผลงาน โรงเรียนที่มีผลงาน และเขตการศึกษาที่มีผลงาน มาเล่าแรงบันดาลใจ วิธีการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
6.ยกระดับข้อสอบให้ทดสอบการคิดที่ซับซ้อน
7.ส่งเสริมการเรียนแบบ PBL (Project-Based Learning) เป็นเครื่องมือให้นักเรียนเรียนรู้ในมิติที่ลึกและซับซ้อน ตามแนวทักษะแห่งศตวรรษที่ 21




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น